ข้อ.1บอกความหมายความแตกต่างหรือคล้ายกันระหว่าง Blog, Twitter.Facebook
1. Blogความหมายที่อ้างอิงจาก www.webopedia.com เขียนไว้ว่าBlog (n.) Short for Web log, a blog is a Web page that serves as a publicly accessible personal journal for an individual. Typically updated daily, blogs often reflect the personality of the author.แปลได้ว่า : Blog ย่อมาจาก \"Weblog\" โดยตัดตัว \"We\" ด้านหน้าออกไป และหมายถึงหน้าเว็บที่ใครๆก็เข้าไปอ่านเรื่องที่คนเขียนเรื่องต่างๆเอาไว้ ได้ของแต่ละคน โดยมากก็จะอัพเดตกันได้ทุกวัน และ blog มักจะสะท้อนบุคลิกส่วนตัวของเจ้าของ blogรูปแบบรูปแบบของ blog นั้นมีหลากหลาย ตั้งแต่เป็นหัวข้อลิงค์ง่ายๆไปจนถึงการรวมเรื่องที่มีการให้คนอื่นที่มาดู blog เขียนคอมเม้นท์ไว้ได้ หรือโหวตให้คะแนนได้ blog มักจะลงวันที่และเวลาที่เขียนไว้ด้วย และรายการที่โพสล่าสุดมักจะอยู่ข้างบน เนื่องจากลิงค์เป็นเรื่องสำคัญมากของ blog โดยมาก blog ต่างๆจึงต้องทำลิงค์ให้ไปอ่านเรื่องเก่าๆได้ง่ายและชื่อเว็บที่เรียกเข้า blog แต่ละคนก็จะเขียนแบบง่ายๆด้วยครับBlog สื่อใหม่ที่น่าจับตาBlog คืออะไร? ผู้รู้หลายๆ ท่านมักจะชอบเปรียบเปรยว่า Blog เป็นเหมือนกับสมุดบันทึกหรือไดอารี่ที่เราเขียนเป็นประจำ เพียงแต่สมุดบันทึกดังกล่าวแทนที่จะเขียนบนกระดาษเรากลับเขียนลงบนโลกออ นไลน์ ที่คนทั่วโลกเขาสามารถอ่านกันได้ พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นตอบกลับมาได้เรื่องที่เราเขียนบน Blog อาจจะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ที่อยากจะเขียนไม่ว่าจะเป็นการพร่ำพรรณนาถึงแสงแดด สายลม และความรัก หรือ การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่เราเจอรอบๆ ตัว หรือ แม้กระทั่งการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนความรู้ ฯลฯชื่อของ Blog นั้นมาจากคำว่า Weblog แต่เรียกให้สั้นเข้าก็เลยตัด We ออกเหลือเพียงแค่ Blog เท่านั้นครับ และทาง Oxford English Dictionary ก็ได้บรรจุคำๆ นี้ลงในพจนานุกรมของตัวเองแล้วครับ (ขอขอบพระคุณ kapook.com สำหรับข้อมูลนะครับ) Blog ทำให้ทุกคนสามารถกลายเป็นนักเขียนได้อย่างรวดเร็วและสะดวกที่สุด ตอนนี้ประมาณกันว่ามีจำนวนผู้ที่เขียน Blog เป็นประจำมากกว่า 5 ล้านคนทั่วโลกถึงแม้อินเตอร์เนตจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในเรื่องของการ สื่อสารข้อมูลข่าวสารต่างๆ มานานนับสิบกว่าปีแล้ว แต่ท่านผู้อ่านลองสังเกตดูซิครับว่าข่าวที่สื่อออกไปผ่านทางอินเตอร์เน็ต นั้นก็ยังเป็นข่าวเดิมๆ ที่ได้มีการสื่อผ่านทางช่องทางอื่นอยู่แล้ว ไม่ต้องมองอื่นไกลครับ เว็บข่าวหลายๆ แห่งของเมืองไทยก็นำเนื้อหามาจากหน้าหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ โดยดัดแปลงเข้าสื่ออินเตอร์เนตเท่านั้นเองแต่ในโลกของ Blog หรือที่เขาเรียกกันว่า Blogosphere นั้น โลกของข้อมูลข่าวสารที่เขียนนั้นไม่ได้ถูกควบคุมและผู้เขียนเป็นผู้เลือก สิ่งที่จะเขียน ผลก็คือ Blog หลายๆ แห่งทั่วโลกกำลังกลายเป็นสื่อแห่งใหม่ที่กำลังส่งผลและมีอิทธิพลต่อความคิด วิถีชีวิต หรือพฤติกรรมในการซื้อของ ของคนนับล้านทั่วโลก ซึ่งสุดท้ายองค์กรธุรกิจก็จำเป็นที่จะต้องปรับตัวต่อกระแสความตื่นตัวของ Blog อย่างไรก็ดี ซึ่งในตอนนี้องค์กรยักษ์ใหญ่หลายๆ แห่งก็เริ่มที่จะตระหนักและปรับตัวให้ทันตามกระแส Blog กันมากขึ้นใน ปัจจุบันอาจจะถือว่าวิวัฒนาการและความนิยมของ Blog ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นนะครับ แต่จากผู้เชี่ยวชาญหลายๆ สำนักต่างมองตรงกันว่า Blog จะเป็นความตื่นตัวครั้งใหม่ในวงการ ซึ่งองค์กรธุรกิจทุกแห่งจะต้องรู้จักที่จะปรับตัวและใช้ประโยชน์จาก Blog ให้เป็น มีการเตือนกันไว้ว่านักการตลาดจะต้องรู้จักที่จะบริหารจัดการกับ Blog ด้วยวิธีการที่แตกต่างจากสื่อธรรมดาทั่วๆ ไป เนื่องจาก Blog ไม่ได้เป็นเพียงที่ๆ จะโฆษณาเท่านั้นนะครับ แต่ยังเป็นที่ๆ คนได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยท่านผู้อ่านที่อยากจะรู้จักและเข้า ใจ Blog ให้มากขึ้นลองเริ่มต้นที่ Blogger.com ดูก็ได้นะครับ เป็นของ Google หรือ มีหลายเว็บที่ได้รับการจัดลำดับให้อยู่ในพวกยอดนิยมเช่น www.weblog.ro หรือ www.slashdot.org หรือในเมืองไทยที่ตอนนี้เป็นแหล่งรวม Blog ใหญ่ๆ ก็มีที่เว็บของผู้จัดการ (weblog.manager.co.th) หรือถ้าท่านผู้อ่านยังมีใจวัยรุ่นหน่อยก็ลองไปดูที่ www.kapook.com ก็ได้ครับ ผมเองก็ลองเริ่มเขียน Blog บ้างแล้วครับ ฝากไว้ในเว็บของผู้จัดการ ท่านผู้อ่านลองไปหาดูแล้วกันนะครับ2.twittertwitter ได้รับความนิยมอย่างมากมายในสหรัฐอเมริกา นั้นเกิดจากกลุ่มผู้ใช้ที่เป็น technology geek หรือพวกผู้ใช้ระดับสูงที่คุ้นเคยกับการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างมากมาก่อน แต่ twitter เองก็มาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นกับคนในวงกว้าง เมื่อดาราดังจาก Hollywood อย่าง แอชตั้น คุชเชอร์ หันมาใช้ twitter เพื่ออัพเดทเรื่องราวส่วนตัว และยิ่งไปกว่านั้น แอชตั้นได้ท้าแข่งกับ CNN ว่า twitter ของเค้า กับของ CNN ใครจะมีคนตามอ่าน (follower) ถึงหนึ่งล้านคนก่อนกัน ซึ่งครั้งนั้นปรากฎว่า twitter ของแอชตั้น คุชเชอร์ ได้ครบ 1 ล้านคนก่อน ทำให้ CNN แพ้ไปตามระเบียน แต่จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้คนทั่วไป รู้จัก twitter มากขึ้นเช่นกันทวิตเตอร์ (Twitter) คือเว็บไซต์ที่ให้บริการ blog สั้น หรือที่ ภาษาอังกฤษเรียกกันว่า Micro-Blog ซึ่งสามารถให้ผู้ใช้ส่งข้อความของตนเอง ให้เพื่อน ๆ ที่ติดตาม twitter ของเราอยู่อ่านได้ และเราเองก็สามารถอ่านข้อความของเพื่อน หรือคนที่เราติดตามเค้าอยู่ได้ ซึ่ง twitter ก็ถือได้ว่าเป็นเว็บไซต์ประเทศ social Media ด้วยเช่นกันในรูปแบบของ twitter นี้ ที่เรียกว่าเป็น blog สั้นก็เพราะว่า twitter ให้เขียนข้อความได้ครั้งละไม่เกิน 140 ตัวอักษร ซึ่งข้อความนี้เมื่อเขียนแล้วจะไปแสดงอยู่ในหน้า profile ของผู้เขียนนั่นเอง และจะทำการส่งข้อความนี้ไปยังสมาชิกที่ติดตามผู้เขียนคนนั้นอยู่ (follower) โดยอัตโนมัติTwitter หรือ Micro Blogging เป็นการส่ง message ระหว่างสมาชิกที่มี connection กันด้วยระบบ RSS feed ส่งข้อความผ่านสื่อสองทาง เช่น SMS , instant message, email, Twitter\'s web site หรือโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นสำหรับการนี้โดยเฉพาะ ด้วยเหตุที่เขียนข้อความได้จำกัดจึงเกิดคำเรียกอีกคำว่า \"micro blogging\" และข้อความที่ส่งถึงกันมีศัพท์เรียกว่า \"Tweets\" ซึ่งเปรียบเหมือนเสียงนกร้องอยู่ตลอดเวลา ข้อความที่จะส่งนั้นต้องเป็น plain text เท่านั้นจะแทรกคำสั่งโปรแกรมอะไรไม่ได้ ยกเว้นแต่ hyperlink มายังเว็บเพจของเรา ที่สามารถใส่ไปได้ โดยระบบจะจัดการต่อให้เองคนที่ ใช้ Twitter โดยมากเป็น blogger ทั่วไปที่ต้องการสื่อสารให้พรรคพวกได้updateแบบรวดเร็วทันใจ ไม่ว่าจะอยู่ที่มุมไหนของโลก โดยเริ่มมากจากคำถามที่ว่า What are you doing? แต่ข้อเสียในการใช้งานแบบส่วนตัวเกินไปก็มีมาก เช่น การส่ง message ว่า หิวข้าว อยากกินส้มตำ อยากไปดูหนัง ไปเที่ยวกับแฟนมา ไม่ได้อาบน้ำมาสามวันแล้ว ฯลฯ ซึ่งสร้างความรู้สึกที่น่ารำคาญกับผู้รับ Tweets ที่ไม่ได้สนิทสนมด้วยเดิม Twitter มีจุดประสงค์สำหรับใช้สื่อสารแบบส่วนตัว และไม่เป็นทางการ จึงเต็มไปด้วยสิ่งที่คนอีกกลุ่มหนึ่งตั้งข้อรังเกียจ แต่ตอนหลังๆ คนเริ่มพยายามนำมาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือในทางการตลาด ซึ่งนับว่าเป็นไอเดียที่ไม่เลว เพราะ Twitter บริการส่ง SMS แบบ Broadcasting โดยไม่คิดค่าบริการ ตัวอย่างการนำไปใช้งานให้เกิดประโยชน์ก็ เช่น• ใช้ในการโฆษณาบอกกันแบบปากต่อปาก ระหว่างสมาชิกด้วยกัน• ใช้สื่อสารข้อความสั้นๆภายในองค์กร ในส่วนที่ไม่เป็นความลับ• เหมาะกับกลุ่มที่ทำงานขายงานตลาดในเครือข่ายเดียวกันจะใช้ในสื่อสารบอกความ คืบหน้า update ข้อมูลกันและกัน หัวหน้าทีมที่มีผู้ติดตามมากก็จะได้ประโยชน์มากหน่อย เพราะสามารถสั่งงานได้ฉับพลันทันที รับรายงานได้ทันที• ใช้สื่อสาร update กับผู้อ่าน กลุ่มสมาชิก ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย• ใช้เป็นช่องทางให้ความรู้ที่น่าสนใจแก่สมาชิกกลุ่ม เพิ่ม value ให้กับผู้มอบความรู้• ใช้แสดงความคิดเห็นในประเด็นสาธารณะแบบ real time ในหมู่สมาชิก• ใช้รณรงค์ ประชาสัมพันธ์กิจกรรมเพื่อสังคม หรือ สาธารณประโยชน์กับกลุ่มสมาชิก• สำนักข่าว สามารถใช้ส่ง headline news ให้กับสมาชิก• บริษัท ห้างร้าน ใช้ส่งข้อความตามเทศกาล ส่งข่าวเกี่ยวกับสินค้าโปรโมชั่นการใช้ Twitter จึงเหมือนกับการสื่อสารทางตรงของสมาชิกผู้หนึ่งกับสมาชิกกลุ่มป้าหมาย ซึ่ง connect กันในระบบ online networking ด้วยวิธี broadcasting smsSocial Networking คืออะไร ?Social Networking ในที่นี้หมายถึงเฉพาะที่เป็นแบบ online ที่สมัครสมาชิกกันได้ฟรีๆ แล้วก็ส่ง message ผ่านทาง instant message หรือ email ไปชักชวนคนอื่นมา connect ด้วย เมื่ออีกฝ่ายดูประวัติคนส่งแล้ว เกิดความสนใจก็ connect กลับ การได้เพื่อนแบบนี้ นอกจากจะได้รู้จักคนที่ connect กันโดยตรงแล้วยังสามารถ connect กับเพื่อนของเพื่อนนั้นได้อีกด้วย จะ connect ไปได้กี่ชั้นก็แล้วแต่ขอบเขตการบริการของผู้ให้บริการนั้นส่วนมากบริการ ทำนองนี้มักจะถูกมองไปในเรื่องของการหาคู่ โดยที่ต่างคนต่างโพสประวัติ (จริงไม่จริง มีคนดียวที่รู้ดี) รูปสวยๆ หล่อๆ ดูภูมิฐาน ไว้ก่อน คุยกันไปคุยกันมาก็กลายเป็นคู่รัก แต่งงานกันไป แต่ที่ถูกหลอกลวงน่าจะมีมากกว่า (ละมัง)ถ้าไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่อง ทำนองนี้ก็ต้องเลือกเครือข่ายที่ให้บริการด้านธุรกิจ เช่น ecademy.com เป็นต้น ในนั้นสมาชิกจะแสดง profile ของตนไว้ พร้อมทั้งเขียน Tag ระบุคุณสมบัติของตัวเอง ของธุรกิจ หรือของสินค้าบริการที่มานำเสนอ เมื่อคนอื่นในเครือข่าย search พบแล้วติดต่อมา ก็จะมีการ add contact พูดคุยกันทางกล่องmessageในเว็บไซต์, instant message อย่าง Skype, MSN, Yahoo หรือ email เป็นการเริ่มต้นสานความคิดและเครือข่ายทางธุรกิจ หรือต่อขาธุรกิจออกไปในกลุ่มนักธุรกิจหรือผู้ที่สนใจจะทำธุรกิจ นักลงทุน นายธนาคาร นักประดิษฐ์คิดค้น คนให้คำปรึกษา ที่มาพบกันในนั้น มีการแนะนำต่อๆกัน เป็นการแสวงหาและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งถ้าทำอย่างมืออาชีพจะเป็นช่องทางในการประกอบอาชีพ หรือเป็นเจ้าของธุรกิจใหม่ๆได้อย่างน่าสนใจทีเดียวของฟรี ไม่มีในโลกฉันท์ใด บริการที่สร้างโอกาสให้กับสมาชิกก็ย่อมต้องมีการลงทุนบ้างฉันท์นั้น ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ เว็บไซต์ที่ให้บริการ social networking นี้จะมีการเก็บค่าสมาชิกตามระดับความได้เปรียบในการเข้าถึงข้อมูลของสมาชิก ในกลุ่ม ยิ่ง upgrade สูงเท่าไรก็มีโอกาสได้พบปะนักธุรกิจมากขึ้นเท่านั้น แถมยังมีสิทธิพิเศษ ได้รับส่วนลดในการร่วมประชุม พบปะสังสรรค์ ฟังอบรม สัมนาที่ผู้ให้บริการร่วมกับสมาชิกผู้มีคุณวุฒิที่ได้รับเชิญมาบรรยายอีก ด้วยทำไมต้อง Twitter ?คำตอบอยู่ที่ว่าจะใช้ทำอะไร กับใคร เพื่ออะไร ต่างหาก ถ้าจะใช้ส่วนตัวแบบ ส่งข้อความกับเพื่อนๆ ก็ไม่ต้องใช้ก็ได้ แต่ถ้าจะใช้ในเชิงธุรกิจ หรือ วิชาการ หรือเพื่อทำสิ่งที่สร้างสรรค์กับตัวเองและผู้อื่น ก็น่าจะลองพิจารณาดูจะ เลือก follow ใคร และ ใครจะมา follow เรา ?ใครที่มีแนวความคิดที่น่า สนใจ ช่วยเติมเต็มสิ่งที่เราขาด ช่วยเพิ่มพูนสติปัญญาความรอบรู้ด้านที่เราสนใจ เป็นผู้นำทางความคิด เป็นคนรู้เท่าทันข่าวสาร ที่เชื่อถือได้ ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติอะไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับความต้องการของเราเอง อาจจะต้องการคนสนุกสนานที่จะคอย feed joke ให้เราอารมณ์ดีก็ได้เมื่อสมัครไปแล้ว เขาจะเห็นเรา ถ้าเขาสนใจตามเรากลับมาแล้ว add เราบ้าง ก็จะกลายเป็นการสื่อสารถึงกันและกัน ต่อไปก็ต้องพยายามโปรโมทตัวเองด้วยการส่ง email ถึงเพื่อนที่เราอยากให้ใช้ Twitter เขียนบทความให้คนรู้ ทำประชาสัมพันธ์ในชุมชนออนไลน์ที่มีคนที่น่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอยู่ แล้วรอดูผล ขณะเดียวกันก็ต้องเริ่ม contribute ด้วยการส่ง Tweets เมื่อทำไปสักพัก อาจจะพบกับพวกที่ชอบส่งเสียงในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ก็ต้องมีมาตรการดูแลและจัดการด้วยเหมือนกัน เช่น ไม่สนใจ หรือ ไม่ก็พิจารณาตัดออกไปจากสาระบบของเราเสียในระบบจะมีสถิติให้สมาชิกดูว่า สมาชิก follow ใครอยู่กี่คน มีคนมา follow สมาชิกกี่คน มี favourite tweets กี่ข้อความ เป็นต้นใช้ Twitter อย่างไรให้ถูกต้อง ?Tweets ที่ส่งออกไปทั้งหมดจะปรากฎอยู่ใน profile สมาชิกและจะอยู่ต่อไปถ้าไม่มีการจัดการบ้าง และส่วนที่ยังปรากฎอยู่จะแสดงถึงลักษณะความเป็นคุณ (หรือคุณในโลกออนไลน์) อยู่อย่างนั้น ฉะนั้นจงคำนึงถีงสิ่งเหล่านี้ด้วย• อย่าส่งเสียงน่ารำคาญ เพราะชื่อก็บอกว่าเป็น เสียงนก ดังนั้นถ้าใช้แบบ \"เสียงนก เสียงกา\" ก็จะไม่มีคนให้ความสนใจได้เหมือนกัน จึงควรต้องระมัดระวัง เลือกคำให้สั้น ให้เหมาะและได้ใจความ เหมือนที่คุณจะใช้หากมีโอกาสได้คุยกับประธานบริหารของธนาคารที่คุณขอกู้เงิน ในเวลาเพียง 30 วินาที ฉะนั้นจึงอาจต้องฝึกกันบ้าง หรือวางแผนไว้บ้าง• อย่านิ่งเงียบไป ต้องส่งข้อความให้คนอื่นรู้ว่ายังไม่ตายไปจากโลกนี้• ลองอะไรใหม่ๆดูบ้าง ถ้าสิ่งนั้นจะทำให้เกิดประโยชน์กับตัวเองมากขึ้น (ถ้าจะคิดแบบธุรกิจ) บางทีกฎเกณฑ์ก็กลายเป็นข้อจำกัดของการประยุกต์ความคิดสร้างสรรค์ได้เหมือน กัน• ปรับตัวให้เร็ว ถ้าสิ่งที่ทดลองทำนั้นไม่ได้ผล ก็อย่าทู่ซี้ทำต่อไป ไม่งั้นจะเกิดผลเสียตามมา เว้นแต่เชื่อมั่นว่ามันจะได้ผลแต่อาจจะยังไม่ถึงเวลา ก็อยู่ที่การตัดสินใจของตัวเอง• อย่าใช้ Twitter เป็น SMS โต้ตอบกับใครเป็นการส่วนตัวจนดูไม่เป็นProfessional ถ้าจำเป็นก็ควรยกหูโทรศัพท์คุยหรือส่ง IM แทน• ในกรณีที่ต้องคุยใช้ Tweet บอกใครหรือกลุ่มของใครเป็นการเฉพาะ ควรใส่เครื่องหมาย @หน้าชื่อคนนั้นๆ หรือใช้สีที่แตกต่างกัน• เพื่อตัดปัญหาเวลาคนรับ Tweets ไม่ได้ flollow ทุกคนในกลุ่มที่เราส่ง SMS เขาจึงได้ข้อความไม่ครบ ทำให้เกิดการเข้าใจผิดกันได้ จึงควรใช้ถ้อยคำที่ผู้อ่านสามารถจับความได้เป็นดีที่สุด หรือไม่ก็เลือกสื่อสารทางอื่นแทน• อย่าพยายามขายอะไรใน ธweets เพราะมันจะไม่ work ลองสำรวจดู100 คำที่ไม่ควรใช้ใน email ในเรื่องนี้ก็ดีค่ะ เพราะคนทั่วไปไม่มีใครชอบจดหมายขายสินค้า หรือใช้วิธี hard sellก่อนส่ง ลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นผู้รับ Tweet นั้น เราจะอยากเป็น follower ของคนนั้นไหมส่ง Tweet อย่างไรดี ?การส่ง ทาง email แล้วข้อความถูกส่งไปทั้งบนเว็บ และ sms ประหยัดไปได้มาก แต่ต้องใช้ program จาก lifehack.org เพื่อส่ง tweet ทาง email ใน twitter หรือจะใช้ skype หรือใช้ โปรแกรมที่เรียกว่า swype ก็ทำได้เช่นกันเป็น ความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือสื่อสารออนไลน์กับชีวิตประจำวัน ที่เก็บเกี่ยวมาจากการอธิบายของ Caroline Middlebrook เกี่ยวกับ Twitter ซึ่งช่วยคลายข้อสงสัยไปได้มากเหมือนกันค่ะ เพราะก่อนหน้านี้เห็นคนบ่นเกี่ยวกับพวก Twitter ว่าเต็มไปด้วยข้อความไร้สาระ แต่พอมีคนชี้ให้เห็นว่าถ้าเอามาใช้ให้ดีก็น่าสนใจเช่นกัน3.Facebookหลาย ๆ ท่านคงเคยได้ยินชื่อ facebook ว่าเป็น social network ที่ได้รับความนิยมอีกแห่งหนึ่งในโลก ซึ่งถ้าในต่างประเทศ ความยิ่งใหญ่ของ facebook มีมากกว่า Hi5 เสียอีก แต่ในประเทศไทยของเรา Hi5 ยังครองความเป็นเจ้าในด้าน social network ในหมู่คนไทย แต่อย่างไรก็ตาม เราลองมาดูประวัติของ facebook กันดีกว่า ว่าเป็นอย่างไรประวัติ facebookเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 Mark Zuckerburg ได้เปิดตัวเว็บไซต์ facebook ซึ่งเป็นเว็บประเภท social network ที่ตอนนั้น เปิดให้เข้าใช้เฉพาะนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดเท่านั้น และเว็บนี้ก็ดังขึ้นมาในชั่วพริบตา เพราะแค่เพียงเปิดตัวได้สองสัปดาห์ ครึ่งหนึ่งของนักศึกษาที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ก็สมัครเป็นสมาชิก facebook เพื่อเข้าใช้งานกันอย่างล้นหลาม และเมื่อทราบข่าวนี้ มหาวิทยาลัยอื่น ๆ ในเขตบอสตั้นก็เริ่มมีความต้องการ และอยากขอเข้าใช้งาน facebook บ้างเหมือนกัน มาร์คจึงได้ชักชวนเพื่อของเค้าที่ชื่อ Dustin Moskowitz และ Christ Hughes เพื่อช่วยกันสร้าง facebook และเพียงระยะเวลา 4 เดือนหลังจากนั้น facebook จึงได้เพิ่มรายชื่อและสมาชิกของมหาวิทยาลัยอีก 30 กว่าแห่ง ไอเดียเริ่มแรกในการตั้งชื่อ facebook นั้นมาจากโรงเรียนเก่าในระดับมัธยมปลายของมาร์ค ที่ชื่อฟิลิปส์ เอ็กเซเตอร์ อะคาเดมี่ โดยที่โรงเรียนนี้ จะมีหนังสืออยู่หนึ่งเล่มที่ชื่อว่า The Exeter Face Book ซึ่งจะส่งต่อ ๆ กันไปให้นักเรียนคนอื่น ๆ ได้รู้จักเพื่อน ๆ ในชั้นเรียน ซึ่ง face book นี้จริง ๆ แล้วก็เป็นหนังสือเล่มหนึ่งเท่านั้น จนเมื่อวันหนึ่ง มาร์คได้เปลี่ยนแปลงและนำมันเข้าสู่โลกของอินเทอร์เน็ต เมื่อประสบความสำเร็จขนาดนี้ ทั้งมาร์ค ดัสติน และ ฮิวจ์ ได้ย้ายออกไปที่ Palo Alto ในช่วงฤดูร้อนและไปขอแบ่งเช่าอพาร์ทเมนท์ แห่งหนึ่ง หลังจากนั้นสองสัปดาห์ มาร์คได้เข้าไปคุยกับ ชอน ปาร์คเกอร์ (Sean Parker) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Napster จากนั้นไม่นาน ปาร์คเกอร์ก็ย้ายเข้ามาร่วมทำงานกับมาร์คในอพาร์ตเมนท์ โดยปาร์คเกอร์ได้ช่วยแนะนำให้รู้จักกับนักลงทุนรายแรก ซึ่งก็คือ ปีเตอร์ ธีล (Peter Thiel) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Paypal และผู้บริหารของ The Founders Fund โดยปีเตอร์ได้ลงทุนใน facebook เป็นจำนวนเงิน 500,000 เหรียญสหรัฐฯด้วยจำนวนสมาชิกหลายล้านคน ทำให้บริษัทหลายแห่งสนใจในตัว facebook โดย friendster พยายามที่จะขอซื้อ facebook เป็นเงิน 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในกลางปีพ.ศ. 2548 แต่ facebook ปฎิเสธข้อเสนอไป และได้รับเงินทุนเพิ่มเติมจาก Accel Partners เป็นจำนวนอีก 12.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในตอนนั้น facebook มีมูลค่าจากการประเมินอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯfacebook ยังเติบโตต่อไป จนถึงเดือนกันยายนปีพ.ศ. 2549 ก็ได้เปิดในโรงเรียนในระดับมัธยมปลาย เข้าร่วมใช้งานได้ และในเดือนถัดมา facebook ได้เพิ่มฟังค์ชั่นใหม่ โดยสามารถให้สมาชิก เอารูปภาพมาแบ่งปันกันได้ ซึ่งฟังชั่นนี้ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ในฤถูใบไม้ผลิ facebook ได้รับเงินจากการลงทุนเพิ่มอีกของ Greylock Partners, Meritech Capitalพร้อมกับนักลงทุนชุดแรกคือ Accel Partners และ ปีเตอร์ ธีล เป็นจำนวนเงินถึง 25 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมูลค่าการประเมินมูลค่าในตอนนั้นเป็น 525 ล้านเหรียญ หลังจากนั้น facebook ได้เปิดให้องค์กรธุรกิจหรือบริษัทต่าง ๆ ให้สามารถเข้าใช้งาน facebook และสร้าง network ต่าง ๆ ได้ ซึ่งในที่สุดก็องค์กรธุรกิจกว่า 20,000 แห่งได้เข้ามาใช้งาน และสุดท้ายในปีพ.ศ. 2550 facebook ก็ได้เปิดให้ทุกคนที่มีอีเมล์ ได้เข้าใช้งาน ซึ่งเป็นยุคที่คนทั่วไป ไม่ว่าเป็นใครก็สามารถเข้าไปใช้งาน facebook ได้เพียงแค่คุณมีอีเมล์เท่านั้นในช่วงฤดูร้อนปี 2550 ครั้งนั้น Yahoo พยายามที่จะขอซื้อ facebook ด้วยวงเงินจำนวน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีรายงานว่ามาร์คได้ทำการตกลงกันด้วยวาจาไปแล้วด้วยว่า จะยอมขาย facebook ให้กับ Yahoo และเพียงแค่สองสามวันถัดมา หุ้นของ Yahoo ก็ได้พุ่งขึ้นสูงเลยทีเดียว แต่ว่าข้อเสนอซื้อได้ถูกต่อรองเหลือเพียงแค่ 800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้มาร์คปฎิเสธข้อเสนอนั้นทันที ภายหลังต่อมา ทาง Yahoo ได้ลองเสนอขึ้นไปที่ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ อีกครั้ง คราวนี้มาร์คปฎิเสธ Yahoo ทันที และได้รับชื่อเสียงในทางไม่ดีว่า ทำธุรกิจเป็นเด็กฯ ไปในทันที นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มาร์คปฎิเสธขอเสนอซื้อบริษัท เพราะเคยมีบริษัท Viacom ได้เคยลองเสนอซื้อ facebook ด้วยวงเงิน 750 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และถูกปฎิเสธไปแล้วในเดือนมีนาคมปี 2550
มีข่าวอีกกระแสหนึ่งที่ไม่ค่อยดีสำหรับ facebook ที่ได้มีการโต้เถียงกันอย่างหนัก กับ Social Network ที่ชื่อ ConnectU โดยผู้ก่อตั้ง ConnectU ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กที่ฮาเวิร์ด ได้กล่าวหาว่ามาร์คได้ขโมยตัว source code สำหรับ facebook ไปจากตน โดยกรณีนี้ได้มีเรื่องมีราวไปถึงชั้นศาล และตอนนี้ได้แก้ไขข้อพิพาทกันไปเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีข้อพิพาทอย่างนี้เกิดขึ้น การเติบโตของ facebook ก็ยังขับเคลื่อนต่อไป ในฤดูใบไม่ร่วงปี 2551 facebook มีสมาชิกที่มาสมัครใหม่มากกว่า 1 ล้านคนต่อสัปดาห์ โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่วันละ 200,000 คน ซึ่งรวมกันแล้วทำให้ facebook มีสมาชิกมากถึง 50 ล้านคน โดย facebook มียอดผู้เข้าชมเฉลี่ยอยู่ที่ 40,000 ล้านเพจวิวต่อเดือน จากวันแรกที่ facebook เป็น social network ของนักศึกษามหาวิทยาลัย จนวันนี้ สมาชิกของ facebook 11% มีอายุมากกว่า 35 ปี และสมาชิกที่มีอายุมากกว่า 30 ปีก็เข้ามาสมัครใช้ facebook กันเยอะมาก นอกเหนือจากนี้ facebook ยังเติบโตอย่างยิ่งใหญ่ในตลาดต่างประเทศอีกด้วย โดย 15% ของสมาชิก เป็นคนที่อยู่ในประเทศแคนาดา ซึ่งมีรายงานออกมาด้วยว่า ค่าเฉลี่ยของสมาชิกที่มาใช้งาน facebook นั้นอยู่ที่ 19 นาทีต่อวันต่อคน โดย facebook ถือได้ว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของสหรัฐอเมริกาและเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้อัพโหลดรูปภาพสูงที่สุดด้วยจำนวน 4 หมื่นหนึ่งพันล้านรูปจากจำนวนสถิติเหล่านี้ ไมโครซอฟต์ได้ร่วมลงทุนใน facebook เป็นจำนวนเงิน 240 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อแลกกับหุ้นจำนวน 1.6 % ในเดือนตุลาคม 2551 ทำให้มูลค่ารวมของ facebook มีมากกว่า 15,000 ล้านบาท และทำให้ facebook เป็นบริษัทอินเทอร์เน็ตที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 5 ในหมู่บริษัทอินเทอร์เน็ตในสหรัฐอเมริกา ด้วยมูลค่ารายรับต่อปีเพียงแค่ 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หลายฝ่ายได้อธิบายว่า การตัดสินใจของไมโครซอฟต์ในครั้งนี้ทำเพียงเพื่อที่จะเอาชนะ Google ซึ่งเป็นคู่แข่งขันที่จะขอซื้อ facebook ในครั้งเดียวกันนั้น คู่แข่งของ facebook ก็คือ MySpace, Bebo, Friendster, LinkedIn, Tagged, Hi5, Piczo, และ Openทำไมต้องใช้เฟซบุ๊ค??หลายๆท่านคงเคยได้ยิน มาแล้วกับคำว่าเฟซบุ๊ค โดยเฉพาะนักท่องอินเทอร์เน็ตคงเคยได้เห็นคำๆนี้ผ่านตามาแล้ว แต่คงจะมีบ้างบางท่านที่รู้จักชื่อ แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร และจะใช้อย่างไร..เฟซบุ๊คเป็นเสมือนสังคมๆหนึ่งซึ่งอยู่ในลักษณะของ สังคมออนไลน์ หรือที่เรียกกันติดปากว่า Social Network ซึ่งสังคมออนไลน์นี้เป็นสังคมที่รวมกลุ่มคนที่มีความชอบ ความสนใจในสิ่งเดียวกันเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งกลุ่มที่อยู่ในเว็บไซต์เดียวกัน หรืออยู่คนละเว็บไซต์.. แต่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ สามารถสื่อสาร ส่งต่อ หรือแบ่งปันให้กันได้ จากจุดเริ่มต้นที่คนหนึ่งคนส่งหาเพื่อนอีกคน แล้วมีการส่งต่อกระจายกันออกไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นเครือข่ายสังคมขนาดใหญ่ โดยที่คนในสังคมจะคอยอัพเดทแบ่งปันข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกัน จนทำให้สังคมออนไลน์เป็นเครือข่ายที่กว้างขวาง และเข้มแข็งมากและเฟซ บุ๊คก็เป็นสังคมออนไลน์แห่งหนึ่งที่มีคนใช้งานมากที่สุดเว็บไซต์หนึ่งของโลก ในการสมัครเข้าใช้งานก็สามารถทำได้อย่างง่าย เพราะใครๆก็สามารถจะลงทะเบียนเข้าใช้งานเฟซบุ๊คและใช้งานโต้ตอบกับกลุ่มคนใน สังคมออนไลน์ที่พวกเขารู้จักได้ ภายในเว็บไซต์เฟซบุ๊ค ได้ถูกออกแบบมาให้ง่ายต่อการใช้งานแล้ว เฟซบุ๊ค มีประโยชน์อย่างไรบ้าง?? อย่างแรกคือ เฟซบุ๊คจะเป็นแหล่งรวมกลุ่มเพื่อนของเรา และเพื่อนของเพื่อน นั่นจะทำให้เราได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ และอาจจะได้พบกับเพื่อนเก่าสมัยเรียน เพื่อนที่ทำงาน เพื่อนมหาลัย ใช้เฟซบุ๊คในการติดตามอ่านข่าวสารของบุคคลที่เราสนใจ หรือดารา นักร้อง คนดังที่เราชื่นชอบ ซึ่งนิยมอัพเดทความเป็นไปผ่านทางเฟซบุ๊ค นอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้งานด้านการเรียนการสอน การศึกษา รวมถึงสามารถใช้งานในทางธุรกิจการค้า อย่าง eBay Auction ซึ่งเป็นแอปพลิเคชั่นหนึ่งที่ใช้บริการบนเฟซบุ๊ค หรือจะใช้การโฆษณา ประชาสัมพันธ์สินค้า ให้กับองค์กร หรือบริษัทจากข้อมูลในเดือนตุลาคมปี 2009เฟซบุ๊คมีคนใช้งานมากกว่า 300 ล้านคน มีมากกว่า 120ล้านคนที่เข้าสู่ระบบเฟซบุ๊คอย่างน้อยหนึ่งครั้งในแต่ละวัน โดยเฉลี่ยนแต่ละคนจะมีเพื่อนราว 130 คนที่เป็นเพื่อนในเว็บไซต์ มากกว่า 40 ล้านคนปรับปรุงสภาพของตัวเองอย่างน้อยหนึ่งครั้งในแต่ละวัน มากกว่า 70 ภาษาที่ถูกแปลในเว็บไซต์เพื่ออ่าน และมากกว่า 40 ภาษาที่มีไว้สำหรับงานในส่วนของการพัฒนามีมากกว่า 60 ล้านคนที่เข้าถึงเฟซบุ๊คผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่4.Facebook แตกต่างกับ Twitter อย่างไรเวลาจะซักชวนให้คนอื่นมาเล่น Twitter ก็มักจะมีคำถามเสมอว่า “แล้วมันเหมือนนกับ Facebook?” หรือ แล้วมันแตกต่างจาก Facebook ตรงไหน ? หรือ มันเล่นเกมส์ได้เหมือน Facebook หรือปล่าว ?ผมก็มักตอบกลับไปว่า Facebook เนี่ย ไว้สำหรับเรา follow คนที่เรารู้จัก แต่ เราใช้ Twitterเพื่อที่จะ follow คนที่เราสนใจตัวอย่าง เช่นเราเป็นเพื่อนกับมานะ เราอยากรู้เรื่องของมานะ เราก็ต้องส่ง request ให้ทางมานะrequest มา แล้วเราก็จะรู้ว่ามานะกำลังคิดอะไรอยู่คราว นี้เราเราเกิดมีความสนใจว่า เออ Bill Gate เค้าทำอะไรมั่งนะ วันๆ ถ้าส่ง request ให้คุณBill Gate คงไม่ request คุณด้วยเหตุผลหลายอย่าง เช่น เค้าไม่รู้จักคุณ ต่อให้คุณเป็นเพื่อนเค้า แต่ ลองคิดดูว่าวัน ๆ จะมีคนเข้ามา ส่ง request ให้ Bill Gate กี่คนต่อวัน ... อันนี้คงมหาศาล (แล้วคิดว่าเค้าจะเข้ามากด requestหมดหรือปล่าว ? ) ...ดังนั้นเรา สามารถขจัดปัญหาเหล่านี้ได้โดยการใช้ Twitter ... คุณ Gate ไม่ต้องมา Accept ผม ..ผมก็สามารถรู้ทุกอย่างที่คุณอยากจะบอกคนอื่น ๆ ในที่สาธารณะ ได้ เพราะผม follow คุณ Gate อยู่ และนอกจากนั้น บางครั้งผมอาจสามารถได้คุยกับ คุณ Gate ได้ด้วย คือเขียนส่งไปให้นะเค้าจะอ่านไม่ออก ไม่ต้องสนใจแต่เรารู้ว่าได้ส่งหาเจ้าตัวแล้ว ... แต้ถ้าเค้าตอบกลับมา แสดงว่าคุณกำลังจะได้เพื่อนใหม่แล้วละ ... แค่นี้เอง ความแตกต่างอีก หนึ่ง คำถาม เล่น Twitter มันสนุกยังไง ? แค่ดูคนอื่นเค้า Post กันเนี่ยนะ คำตอบ ทางเดียวเท่านั้น ที่จะตอบคำถามนี้คือ ลองเล่นดู เท่านั้น เพราะผมก็เป็นเคยตั้งคำถามนี้เหมือนกันสรุป ลองเล่นดูทั้งสองอย่าง แล้ว ชีวิต จะเบิกบาน ขึ้นอีกแยะครับ5.Blog ,Twitter และFacebook ที่เหมือนกัน คือ สังคมออนไลน์
ข้อ.2 อธิบายวิธีการใช้และประโยชน์ของ RFID
การนำ RFID มาประยุกต์ในกระบวนการดำเนินธุรกิจนั้น เราสามารถนำ RFID ไปใช้ในขั้นตอนหรือกระบวนการไหนได้บ้าง ผมจะกล่าวไปถึงแต่ละธุรกิจและอุตสาหกรรมที่สามารถนำ RFID ไปประยุกต์ใช้เลยครับ
อุตสาหกรรมการผลิต (การติดตามกระบวนการผลิต)
ในกระบวนการติดตามการผลิต สิ่งที่สำคัญที่ท่านต้องการทราบอย่างมากก็คือ ในแต่ละกระบวนการผลิตใช้เวลาในการทำงานและได้จำนวนการผลิตในแต่ละขึ้นตอนเท่าไหร่ เพื่อนำไปคำนวนถึงต้นทุนการดำเนินงานต่าง ๆ บางแห่งอาจใช้การจับเวลาโดยมีการใช้คนเข้ามาช่วยในการจับเวลา แต่จะเห็นว่าไม่สามารถจับเวลาได้ตลอด RFID เข้ามามีส่วนช่วยในขั้นตอนนี้นี่เอง โดยจะนำมาประยุกต์โดยใช้ Production Line Automation ซึ่งจะสามารถช่วยให้ท่านสามารถรับทราบข้อมูลการผลิตได้ตลอดเวลา ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ สามารถคืนทุนจากต้นทุนที่ลงไปได้ทันที, ลดเวลาในแต่ละขั้นตอนการผลิต, เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต, ข้อมูลที่ได้สามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ เช่นระบบการผลิตกุ้งเพื่อการส่งออกสามารถนำข้อมูลที่มีอยู่ไปยืนยันว่ามีขั้นตอนการผลิตและคุณภาพของสินค้า
ธุรกิจการค้า (ค้าปลีก และ Super store)
ในธุรกิจการค้าปลีกและ Super Store นั้นสิ่งที่ท่านอยากทราบก็คือภายใน 1 วันสินค้าสามารถขายออกไปได้วันละเท่าไหร่ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ก็มีเพียงพออยู่แล้ว แต่สิ่งที่อยากทราบลงไปอีกก็คือ สินค้าที่วางที่ชั้นถูกหยิบไปเท่าไหร่ ควรจะนำสินค้ามาวางเพิ่มที่ชั้นสินค้าหรือไม่ RFID มาช่วยตรงนี้นี่เอง ยกตัวอย่างบริษัทที่นำ RFID มาใช้แล้วก็ เช่น
· Wall Mart ร้านค้าปลีกชื่อดังของสหรัฐฯ ซึ่งมียอดขายปีละกว่า 250,000 ล้านดอลลาร์ ได้ออก ระเบียบ กำหนดให้ Suppliers รายใหญ่ 100 ราย เช่น Gillette, Nestle, Johnsons & Johnsons และ Kimberly Clark ติด RFID Chip บนหีบห่อ และกล่องบรรจุสินค้าให้เรียบร้อยก่อนส่งมาถึง ห้าง ส่วน Suppliers รายเล็กๆ จะต้องติดชิปในรถส่งสินค้าให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2549 WallMart มองว่า เมื่อระบบดังกล่าวเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์จะช่วยให้บริษัททราบถึงการเดินทางของสินค้าได้ทุกระยะ ตั้งแต่โรงงานของ Suppliers จนถึงศูนย์กระจายสินค้าของห้าง และเมื่อใดที่สินค้าถูกหยิบออกจากชั้นไป RFID ก็จะส่งสัญญาณเตือนไปยังพนักงานให้นำสินค้ามาเติมใหม่ทำให้ Wall Mart ไม่จำเป็นต้องเก็บสต็อกสินค้า แต่สามารถสั่งให้ Suppliers มาส่งของได้ทันทีรวมทั้งจะช่วย guarantee ว่าสินค้ามีวางจำหน่วยตลอดเวลา และประโยชน์ที่สำคัญอีกประการ หนึ่งก็คือ จะช่วยลดปัญหาการโจรกรรมสินค้า และปลอมแปลงสินค้าได้อีกด้วย
· Extra Future Store ซึ่งเป็น Supermarket ในเยอรมนี ก็ได้นำเทคโนโลยี RFID มาใช้งานแล้ว หากลูกค้า ต้องการซื้อชีส ลูกค้าก็เพียงป้อนคำสั่งลงในหน้าจอระบบสัมผัสที่อยู่หน้ารถเข็น จากนั้นหน้าจอก็จะปรากฏแผนที่บอกทางไปสู่ชั้นวางชีส ทันทีที่ลูกค้าหยิบชีสจากชั้นวาง ชิปที่ติดอยู่บนห่อชีสก็จะส่งสัญญาณข้อมูลไปยังแผ่นเก็บข้อมูลหนา 2 มิลลิเมตรที่อยู่ใต้ชั้นวาง และอุปกรณ์ตรวจจับที่อยู่บนแผ่นดังกล่าวก็จะส่งสัญญาณแจ้งไปยังฐานข้อมูลของคลังสินค้าว่า ชีสห่อนั้นถูกหยิบออกจากชั้นไปแล้ว ขณะเดียวกันข้อมูลดังกล่าวก็จะถูกส่ง ต่อไปยังบริษัทผู้ผลิตชีสด้วย และเมื่อข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคถูกเก็บรวบรวมไว้มากพอสมควรจนสามารถกำหนดเป็นพฤติกรรมการบริโภคได้แล้ว บริษัทผู้ผลิตและร้านค้าก็สามารถนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ในการวางแผนการตลาดที่เหมาะสมและสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้มากขึ้น
ประโยชน์ของ FRID ต่อธุรกิจค้าปลีกนั้น ได้แก่ มีสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการตลอดเวลา, ไม่ต้องสต๊อคสินค้า, ลดการขโมยสินค้า, นำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมลูกค้า
ธุรกิจบริการ (สายการบิน, การบริการทางการแพทย์, Casin)
ในธุรกิจบริการที่ยกตัวอย่างมาก็คือธุรกิจสายการบินและธุรกิจทางการแพทย์
· ธุรกิจสายการบินที่นำ RFID มาใช้ก็ได้แก่ระบบการติดตามสัมภาระของผู้โดยสารระบบนี้สามารถลดการสูญหายหรือส่งสัมภาระไปผิดเครื่อง
· ธุรกิจทางการแพทย์ ข้อมูลจาก The United States of Food and Drug Administration (USFDA) พบว่า ปัจจุบันโรงพยาบาล บางแห่งในสหรัฐฯ ได้ฝัง RFID Chip ไว้ใต้ผิวหนังบริเวณท่อนแขน ตรงส่วนกล้ามเนื้อ Triceps ของคนไข้ เพื่อความสะดวกในการตรวจรักษาและติดตามข้อมูลการรักษาของผู้ป่วย เมื่ออวัยวะที่ได้รับการฝังชิปไว้ภายในถูกสแกนด้วย RFID Reader ระบบจะแสดงข้อมูลการรักษาของคนไข้รายนั้นออกมา ทำให้แพทย์ที่ถูกเปลี่ยนให้มาดูแลรักษาคนไข้รายดังกล่าวได้รับทราบประวัติการรักษาโดยแพทย์คนก่อนหน้านั้นได้อย่างถูก ต้องและรวดเร็ว การฝังชิปลงไปใต้ผิวหนังก็ไม่ได้ยุ่งยากมากนัก เพียงแค่บรรจุชิปลงในหลอดฉีดยา แล้วฉีดลงไป ซึ่งชิปจะถูกเคลือบด้วยสารที่ชื่อว่า Biobond ช่วยในการยึดเกาะกับเนื้อเยื่อภายในร่างกาย และช่วยป้องกันไม่ให้ชิปเสียหายด้วย
การนำเทคโนโลยี RFID มาใช้ ในอุตสาหกรรมบริการคือบ่อนกาสิโน (CASINO) โดยนำแผ่น RFID ฝังลงในชิพส์ (CHIPS) แทนเงิน ซึ่งจะมีประโยชน์ ดังนี้คือ ป้องกันการนำแผ่นชิพส์ (แทนเงิน) ปลอมมาใช้ ซึ่งทำให้บ่อนเสียประโยชน์อย่างมาก และเป็นปัญหาสำคัญของบ่อนกาสิโนทั่วโลก นอกจากนั้นแล้ว ยังมีประโยชน์ในการศึกษา พฤติกรรมของนักพนัน เพื่อจะนำไปวิเคราะห์ศึกษา เหมือนกับการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค ที่ทางบ่อนจะได้หาทางเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการต่อไป ประโยชน์ของ RFID ต่อธุรกิจบริการ ได้แก่ สามารถรับทราบข้อมูลของลูกค้าอย่างรวดเร็ว, ลดต้นทุนในการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบเอกสาร
ธุรกิจการควบคุมสินค้าคงคลัง และการจัดส่งสินค้า(Logistic & Supply Chain)
การควบคุมสินค้าคงคลังและจัดส่งสินค้าถือได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญต่อ RFID เป็นอย่างมากเนื่องจากสามารถลดต้นทุนการดำเนินงานในด้านนี้เป็นอย่างมาก ปัจจุบันกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย กรมศุลกากร การท่าเรือแห่งประเทศไทย และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ได้ดำเนินโครงการยกระดับท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นท่าขนส่งอิเล็กทรอนิกส์ (e-Port) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการ e-Port เป็นโครงการสนับสนุนการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ในระดับประเทศ โดยมีเป้าหมายให้ การปฏิบัติงาน ณ ท่าเรือ เป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และอำนวยความสะดวกทางการค้าและธุรกิจ รวมทั้งเสริมความมั่นคงปลอดภัยในการค้าระหว่างประเทศ โดยระยะแรกนี้จะใช้ท่าเรือแหลมฉบังเป็นท่าเรือนำร่องของโครงการนี้ ประโยชน์ของ RFID ต่อ Logistic & Supply Chain ได้แก่การลดต้นทุนในการดำเนินงาน, สามารถรับทราบถึงข้อมูลสินค้าในขณะนั้น, นำข้อมูลไปใช้อ้างอิงในการทำธุรกรรมต่างๆ ได้
การบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย (Management and Security)
การบริหารและการจัดการ สิ่งที่ RFID จะสามารถนำไปประยุกต์ได้ก็คือระบบบริหารงานบุคคล โดยสามารถติดตามเวลาการทำงานของพนักงานรวมถึงสามารถดูได้ว่าพนักงานอยู่ในส่วนไหนของโรงงาน แต่ประเด็นนี้ยังมีปัญหาในส่วนของสิทธิส่วนบุคคล ระบบรักษาความปลอดภัย นำ RFID ไปประยุกต์โดยทำงานคล้ายๆ กับระบบบริหารงานบุคคลโดยนำข้อมูลการเข้าถึงระบบต่างๆ บรรจุไว้ใน RFID เพื่อสามารถเข้าไปทำงานในส่วนต่างๆ ได้ ประโยชน์ของ RFID ต่อ ระบบ Management and Security ได้แก่การตรวจสอบเวลาทำงานรวมถึงการเข้าถึงส่วนต่างๆ, นำข้อมูลไปใช้ร่วมกับระบบอื่นๆ เช่นระบบเงินเดือน นอกจากนั้น RFID ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินการต่างๆ ได้อีกมากมาย เช่น
การเกษตร
RFID มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงเกษตรกรรม คือ วงการปศุสัตว์ และกำลังทดลองนำแผ่น RFID มาติดกับใบหูของวัว จะทำให้ผู้เลี้ยงวัวและทางราชการ สามารถติดตามการเดินทางหรือตำแหน่งได้เป็นอย่างดี และจะมีประโยชน์ในการติดตามโรค ไม่ให้เกิดการกระจายของโรคภายในสัตว์เลี้ยง อีกทั้งยังใช้ในการติดตามการเลี้ยงกุ้งซึ่งที่ทำอยู่ก็ได้แก่การบันทึกข้อมูลว่าให้อาหารอะไรแก่กุ้งบ้าง, ใช้ยาอะไรในการเลี้ยงกุ้ง โดยข้อมูลนี้จะถูกส่งต่อไปยังโรงงานที่ทำการส่งออกกุ้งไปยังต่างประเทศ
RFID in Military
กระทรวงกลาโหมอเมริกัน ใช้งบประมาณ 11,000 ล้านบาท พัฒนาการนำอุปกรณ์ RFID มาใช้ติดตามการขนส่งอาวุธ เพื่อป้องกันการโจรกรรม และการนำไปใช้ในสถานที่อันไม่สมควร ประเทศไทย น่าจะพิจารณานำมาใช้ในคลังแสงสรรพาวุธด้วยเช่นกัน
Ticket System
ในปัจจุบันการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆของคนส่วนใหญ่กำลังหันมาใช้บริการของรถไฟฟ้าซึ่งการใช้บริการนั้น นอกจากจะเป็นการประหยัดน้ำมันแล้ว ยังช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดได้อีกทางหนึ่งด้วย เพราะว่าเป็นการลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลอีกทั้งยังประหยัดเวลาในการเดินทางได้เป็นอย่างมากอีกด้วย
RFID at Library
ขณะนี้ได้มีห้องสมุดของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของไทยได้ลองนำเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดีมาใช้นำร่องกับระบบห้องสมุด เพียงติดชิพอาร์เอฟไอดีไว้ที่หนังสือในห้องสมุด แล้วใส่ข้อมูลต่างๆ ของหนังสือเล่มนั้นๆ ไว้ในชิพ อย่างเช่น ข้อมูลชื่อหนังสือ ประเภทหนังสือ ชั้นที่เก็บหนังสือ และติดเครื่องอ่านไว้ตามพื้นที่ต่างๆ ซึ่งการนำเอาอาร์เอฟไอดีมาใช้กับระบบห้องสมุดนี้ โดยอาร์เอฟไอดี จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ดูแลและผู้ที่มาใช้บริการห้องสมุด ไม่ว่าจะเป็น การยืมหรือคืนหนังสือ ที่สามารถทำได้ในคราวเดียว ไม่ต้องมานั่งคีย์ข้อมูลของหนังสือแต่ละเล่มแบบทีละเล่ม หรือไม่ต้องมานั่งยิงบาร์โค้ดไปทีละเล่ม เมื่อผู้ใช้บริการเดินผ่านเครื่องอ่าน เครื่องจะรับส่งสัญญาณวิทยุกับตัวชิพที่ติดในหนังสือ เพิ่มความรวดเร็วในการยืม-คืน เมื่อนำมาใช้ร่วมกับระบบคอมพิวเตอร์ในห้องสมุด จะช่วยตรวจสอบให้ด้วยว่า หนังสือเล่มที่นักศึกษาต้องการได้ถูกยืมไปหรือยัง กับการใช้เพียงระบบคอมพิวเตอร์ในการสืบค้นข้อมูลแบบเก่า ถึงในฐานข้อมูลจะบอกไว้ว่าหนังสือเล่มนี้ๆ ยังไม่มีใครยืมไป ทว่าเมื่อเดินหายังชั้นหนังสือแล้วกลับปรากฏว่า หนังสือได้หายตัวไปเสียแล้ว แต่กับห้องสมุดที่นำ RFID มาใช้ เพียงเครื่องอ่านที่บริเวณชั้นหนังสือได้รับสัญญาณจากชิพว่าหนังสือถูกเก็บไว้ผิดที่ผิดทาง ก็จะระบุออกมาได้ว่าหนังสือเล่มนี้ๆ ขณะนี้ไปปรากฏตัวที่ชั้นหนังสือนี้ๆ เป็นการป้องกันการซ่อนหนังสือห้องสมุด แม้แต่ปัญหาการขโมยหนังสือของห้องสมุดก็สามารถป้องกันได้ เพราะชิพที่ติดที่หนังสือนี้เมื่อเดินทางผ่านเข้ามาในบริเวณพื้นที่รัศมีการอ่านของเครื่องอ่าน ก็จะได้รับและส่งสัญญาณวิทยุคุยกับเครื่องทันที และด้วยความเป็นคลื่นวิทยุนี้จึงช่วยให้สามารถส่งสัญญาณทะลวงออกมาจากกระเป๋าที่จะใช้ซ่อนหนังสือได้ สามารถสรุปงานที่สำคัญๆ ได้ดังต่อไปนี้
1. การบริการยืม–คืนวัสดุสารสนเทศ (Self-Service)
2. การบริการรับคืนวัสดุสารสนเทศด้วยตนเอง (Material Return) ที่ตู้รับคืนหนังสืออัตโนมัติ (Book Return)
3. ระบบรักษาความปลอดภัยของวัสดุสารสนเทศ (RFID Theft Detection/Security Gate)
4. อุปกรณ์แยกวัสดุสารสนเทศ (Sorting Station) เป็นชุดอุปกรณ์เพื่อแยกหนังสือ หรือ วัสดุสารสนเทศที่ได้รับคืนจากสมาชิกออกตามหมวดหมู่ หรือชั้นวางที่ถูกต้อง
5. การสำรวจวัสดุสารสนเทศและการจัดชั้น (Inventory and Shelf Management) การสำรวจหนังสือ หรือ วัสดุสารสนเทศบนชั้น ซึงจะตรวจสอบสอบว่าหนังสือเล่มใดวางผิดที่ หรือมีจำนวนหนังสือที่หายไป
จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า RFID สามารถนำไปประยุกต์ได้กับธุรกิจรวมถึงบริการในหลายๆ ประเภทท่านสามารถนำวิธีการประยุกต์ต่างๆ เหล่านี้ไปใช้ เพื่อช่วยให้องค์กรของท่านสามารถลดต้นทุนรวมถึงได้ข้อมูลต่างๆ ไว้ใช้ในการวิเคราะห์และตัดสินใจเพื่อการดำเนินธุรกิจอีกด้วย
ข้อ.3 ตอบคำถาม กรณีIberry และการบินไทย
ตอบ. 1.การใช้เครื่องตักดิจิตอลก็จะคำนวณว่าต้องตักวัตถุดิบแต่ละอย่างจำนวนเท่าไร และจะคำนวณเวลาและอุณหภูมิการเดินทางโดยไม่ต้องถือบัตรโดยสารเพราะ ... อาจจะประสบปัญหาความแตกต่างทางด้านเทคโนโลยีและกฏหมายในแต่ละประเทศที่ต้องใช้ให้ด้วย ซึ่งระบบจะมีการควบคุมที่แม่นยำ
2.การใช้เซนเซอร์ควบคุมความเย็นของตู้ไอศกรีมให้มีอุณหภูมิคงที่ไม่ให้เกิดปัญหาไฟดับหรือตู้ไม่ทำงานส่งผลให้ไอศกรีม เกิดความเสียหาย คืนรูป หรือเสียรสชาด3.การใช้ซอฟต์แวร์บริหารร้านเพื่อแผนการตลาดที่ดี ซึ่งระบบจะส่งข้อมูลยอดขายในแต่ละวันของแต่ละสาขาออนไลน์ไปรวมกันที่สำนักงานใหญ่ทุกสิ้นวันและได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการขายและข้อมูลต่างๆ รู้ว่าในหนึ่งวันหรือหนึ่งปีมีอะไรถูกขายไปบ้าง แยกเป็นอะไรบ้าง ตัวไหนขายดี ช่วงไหน เสาร์ อาทิตย์ อะไรขายดี หรือหน้าหนาวขายดีหรือไม่ ทำให้รู้ว่าจะวางแผนการตลาดอย่างไร 4.การติดตั้งระบบ CCTV เพื่อดูแลและติดตามพฤติกรรมของพนักงานภายในร้านทุกสาขาได้ตลอดเวลาไม่ว่าเจ้าของร้านจะอยู่ตรงส่วนไหน เพียงมีคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ก็พอ 2. ผู้บริหารสามารถใช้ ICT ตรวจสอบคุณภาพสินค้าได้อย่างไร อธิบายตอบ. 1.การใช้เซนเซอร์ควบคุมความเย็นส่วนการควบคุมความเย็นของตู้ไอศกรีมให้มีอุณหภูมิคงที่ ไม่ให้ปัญหาไฟดับหรือตู้ไม่ทำงานส่งผลให้ไอศกรีม เกิดความเสียหาย คืนรูป หรือเสียรสชาดไปนั้น โดยแก้ปัญหาด้วยการติดตั้งตัวเซนเซอร์ที่ตู้ไอศกรีมแต่ละสาขา2.ซอฟต์แวร์บริหารร้านเพื่อแผนการตลาดที่ดีทำให้ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการขายและข้อมูลต่างๆ รู้ว่าในหนึ่งวันหรือหนึ่งปีมีอะไรถูกขายไปบ้าง แยกเป็นอะไรบ้าง ตัวไหนขายดี ช่วงไหน เสาร์ อาทิตย์ อะไรขายดี หรือหน้าหนาวขายดีหรือไม่
........................................................................................................................................................................
กรณีศึกษา : การบริหารจัดการโดยใช้ ICT ของบริษัทการบินไทย1. บริษัทการบินไทยนำ ICT มาใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจการบินอย่างไรบ้าง?ตอบ. 1.การใช้ศูนย์คอมพิวเตอร์ 2 ศูนย์กับอุปกรณ์ 2 ชุด โดยอุปกรณ์ที่ศูนย์ทั้งสองจะมีความสามารถที่ใกล้เคียงกัน ความจำเป็นที่จะต้องมีศูนย์คอมพิวเตอร์มากกว่าหนึ่งแห่งมาจาก การที่การบินไทยนั้นให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงทั้ง 7 วันต่อสัปดาห์ หากศูนย์หนึ่งเกิดปัญหาขึ้นอีกศูนย์หนึ่งก็สามารถทำหน้าที่แทนได้ทันที แต่อาจจะทำงานได้ในระดับที่ไม่เต็มร้อย แต่ยังสามารถที่จะให้บริการต่อไปได้ และในช่วงนี้ก็จะมีการแก้ไขในจุดที่มีปัญหาในศูนย์ที่ล่มเมื่อเรียบร้อยแล้วก็จะกลับไปใช้งานที่ศูนย์เก่าดังเดิม2.การใช้คอมพิวเตอร์เมนเฟรมทั้ง 4 เครื่อง จะเปิดไว้ตลอดเวลาคือลักษณะเป็น Warm Site ถ้าศูนย์ใดศูนย์หนึ่งมีปัญหาเราจะย้ายระบบมาอีกศูนย์หนึ่งทันที โดยจะต้องมีการกู้ข้อมูลให้ระบบถอยกลับไปก่อนที่จะถึงจุดที่มีปัญหา ข้อมูลจะมีการบันทึกเหมือนกันทั้งสองศูนย์ ระบบ TPF จะเขียนข้อมูลทั้งสองข้างเหมือนกัน แต่ OS/390 จะเขียนฝั่งหนึ่งให้เสร็จก่อน แล้วจึงเขียนอีกฝั่งหนึ่ง และยังมีการใช้ระบบ Virtual Tape Server (VTS) ให้เกิดประโยชน์ในการลงทุนอย่างคุ้มค่า การสตาร์ตระบบคอมเมอร์เชียลอย่าง TPF ถ้าทุกอย่างพร้อมสามารถเปิดระบบภายในเวลา 5 นาที ผู้ใช้งานจึงเริ่มใช้งานได้ ส่วนระบบ OS/390 จะพร้อมใช้งานภายในเวลา 30 นาที หากเลยเวลาที่กำหนดไปแล้วนั้น จะต้องนำเอาแผนฉุกเฉิน (Contingency Plan) หรือ Business Continuity Plan มาใช้เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง 2. จงอธิบายคำต่อไปนี้ Diaster Recovery, Transaction Processing, Virtual Tape Server,Data Recovery, Royal e-Ticketingตอบ. Diaster Recovery เป็นการวางแผนเพื่อรองรับการเกิดภัยพิบัติต่างๆ เช่น น้ำท่วม ไฟไหม้ แผ่นดินไหวTransaction Processing คือ การประมวลผลข้อมูลด้วยการนำแฟ้มข้อมูลที่บรรจุรายการเปลี่ยนแปลง หรือรายการแก้ไข อ่านเข้าไปในคอมพิวเตอร์เพื่อปรับปรุงรายการในแฟ้มข้อมูลหลัก (master file)Virtual Tape Server คือ ระบบเทปเสมือนใช้การรวมกันของ RAID ซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีเทปสูงเพื่อเก็บข้อมูลในเทปมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมวิธี By first staging data in RAID (the "virtual tape"), the virtual tape … โดยข้อมูลการแสดงละครครั้งแรกใน RAID ("เทปเสมือน"), เทปเสมือน ... Data Recovery คือ การกู้ข้อมูลรูปภาพสำคัญ ๆ ที่โดนลบโดยบังเอิญRoyal e-Ticketing คือ การเดินทางโดยไม่ต้องถือบัตรโดยสารเพราะอาจจะประสบปัญหาความแตกต่างทางด้านเทคโนโลยีและกฏหมายในแต่ละประเทศ
วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)